Saturday, December 19, 2015

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] The One : บัลลังก์รัก เล่ห์มงกุฎ

[รีวิว(ไม่)เวอร์]
มาปิดจ๊อบรีวิวเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดนี้แล้วครับผม

ชื่อหนังสือ : The One บัลลังก์รัก เล่ห์มงกุฎ
ผู้เขียน : เคียรา แคสส์
ผู้แปล : อรทัย พันธพงศ์
สำนักพิมพ์ : Spell
ราคา : 275 บาท
จำนวนหน้า : 327 หน้า
เรื่องย่อ : เวลาที่ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวจะได้สวมมงกุฎมาถึงแล้ว ในบรรดาหญิงสาวสามสิบห้าคนผู้ผ่านการคัดสรร อเมริกา ซิงเกอร์ สาวน้อยจากชนชั้นล่างอาจเป็นคนเดียวที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่า เธอจะมีโอกาสก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ หรือแม้แต่ได้เข้าไปนั่งกลางหัวใจของเจ้าชายรูปงาม แม็กซัน ชรีฟ
แต่ก่อนจะไปถึงปลายทางอันหรูหรางดงามดังฝัน อเมริกาต้องจัดการปัญหาค้างคาระหว่างเธอกับ แอสเพ็น คนรักที่ไม่เคยห่างหายไปจากใจให้ได้เสียก่อน
ขณะที่กบฏผู้หวังโค่นอำนาจราชวงศ์ทวีความโหดร้ายป่าเถื่อน อเมริกาต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพันธมิตรสุดอันตราย และได้รู้ซึ้งว่า เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียอะไรมากมายเพื่ออนาคต เพื่อมงกุฎที่เธอต้องการ

บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา การคัดสรรจึงกลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวในเล่มนี้เท่านั้น เรื่องของกบฏ การรักษาบัลลังก์ เรื่องของประชาชนจึงกลายมาเป็นส่วนเด่นของเล่มนี้ แต่แน่นอน อเมริกายังเป็นตัวดำเนินเรื่องอยู่ จึงทำให้เธอได้เปิดมุมมองที่กว้างขึ้น และเห็นว่าเธอควรทำอะไรมากขึ้น ไม่ใช่เพียงตำแหน่งเจ้าหญิง หรือหัวใจของเจ้าชายแม็กซัน แต่หมายถึงประชาชนอิลเลียด้วย

แน่นอนเล่มนี้มันมีอะไรมากกว่าความโรแมนติก จึงทำให้ผมได้พบอะไรหลายๆ อย่างในเล่มนี้ โดยเฉพาะเซอเลสท์ หญิงสาวชนชั้นที่สองผู้หมายจะชนะการคัดสรรเพื่อตัวของตัวเองล้วนๆ จนต้องทำสิ่งเลวร้ายทุกอย่างเพื่อให้ตนชนะ แต่พอมาเล่มนี้ ได้เห็นตัวตนจริงๆ ของเซอเลสท์ทำให้ผมหลงรักเธอและให้อภัยในทุกอย่างที่เธอทำจนหมดสิ้นในทันทีทันใด

ท้ายที่สุดแล้วใครที่ได้เป็นผู้ชนะในการคัดสรรก็คงไม่ต้องเดากันหรือสปอยล์ให้ยาก เพราะทุกคนก็คงมีคำตอบตั้งแต่เริ่มอ่านอยู่แล้ว(แน่นอนมันเป็นสูตรสำเร็จอยู่แล้วนี่) แต่กว่าจะมาถึงการตัดสิน เรื่องราวได้นำพาเราไปพบอะไรเยอะแยะมากมาย จนมันคุ้มค่าที่ต้องอ่านจริงๆ(แม้ผมจะแอบบ่นเบื่อจากสองเล่มที่ผ่านมา)

"สิ่งที่แย่กว่าการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คือการที่เอาตัวตนที่เราเป็นอยู่ ไปเปรียบเทียบกับตัวตนที่เราถูกคาดหวังให้เป็น" The Selection แฝงสิ่งนี้ไว้ในหนังสือทั้งสามเล่มได้อย่างแยบยล ทำให้เราหันกลับมามองตัวตนของเรา กับสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จนลืมมองสิ่งดีๆ ที่ตัวเองมี

ถ้าผมต้องให้นิยามของหนังสือชุดนี้แบบคนไทยเราเข้าใจง่ายๆ
The Selection คงเปรียบได้กับ The Face
The Elite คงเป็น สงครามนางงาม
ส่วน The One ก็คงเป็น Game of Thrones ในแบบที่ซอร์ฟกว่า แต่ความเข้มข้นไม่แพ้กัน

"นี่ไม่ใช่การอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล
มันมีอะไรมากมายกว่านั้นเยอะ"

คะแนนรีวิว : ไม่เคยคิดว่าจะให้หนังสือชุดนี้ได้ถึงขนาดนี้ แต่ The One เอาไป 9/10 คะแนนเลยครับ

Tuesday, December 15, 2015

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] The Elite : มงกุฎรัก บัลลังก์ลวง

The Elite มงกุฎรัก บัลลังก์ลวง

ชื่อหนังสือ : The Elite มงกุฎรัก บัลลังก์ลวง
ผู้เขียน : เคียรา แคสส์
ผู้แปล : อรทัย พันธพงศ์
สำนักพิมพ์ : Spell
ราคา : 275 บาท
จำนวนหน้า : 323 หน้า
เรื่องย่อ :
การคัดสรรค์ยังคงดำเนินไป สาวงาม 35 คนเหลือเพียง 6 คนที่ได้เป็นอีลิต หรือผู้เพรียบพร้อมจะเป็นชนชั้นสูง แม้จะรู้ใจของเจ้าชายแม็กซัน ชรีฟ แต่อเมริกา ซิงเกอร์ก็ยังไม่สามารถตอบรับเพื่อให้การคัดสรรค์ยุติได้ เพราะเธอยังไม่มั้นใจว่าจะเป็นเจ้าหญิงผู้เหมาะสมได้ มีหลายสิ่งซึ่งยังรบกวนจิตใจ อีกทั้งกบฏที่ยังเข้ามารุกรานอย่างต่อเนื่อง

ความโรแมนติกชวนฝันยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม และอารมณ์ขันยังคงสอดแทรกอยู่ แต่สิ่งที่ครุกรุ่นและทวีขึ้นคือความไม่มั่นใจในตำแหน่งหน้าที่การเป็นเจ้าหญิง รวมไปถึงการได้เป็นคนรักของเจ้าชายแม็กซัน ทำให้เรื่องราวยังคงยืดเยื้อต่อไป บอกตามตรงตามประสาคนอ่านว่าผมค่อนข้างรำคาญอเมริกามากที่เธอไม่ยอมตอบตกลงเสียที แต่เมื่อยิ่งอ่านก็ยิ่งพบสาเหตุที่เธอต้องกังวลใจ จนต้องยอมให้อภัยไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพอพบคำตอบของเหตุแห่งความกังวลใจ กลับพบว่ามีรอยยิ้มไปด้วยขณะอ่านทุกที

นอกจากลุ้นไปกับการแข่งขัน ผมยังชอบประวัติศาสตร์(อันเป็นสมมติของผู้เขียนที่เกิดขึ้นในอนาคต)ก่อนและหลังสงครามโลก อันเป็นที่มาของประเทศใหม่อย่างอิลเลียแห่งนี้ และทำให้ผมคิดเล่นๆ ว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคตหากหลังสงครามที่สร้างความเสียหายแต่ไม่ได้ร้ายแรงราวกับดิสโทเปียทั่วไป ประเทศต่างๆ ยังฟื้นฟูขึ้นมาได้ หรือบางประเทศยังคงอยู่ แบบในดิสโทเปียในชุด the Selection นี้

เล่มนี้ก็ยังรักษาความสนุกไว้อยู่แต่อาจมีช่วงให้ลุ้น หรือให้ไม่พอใจบ้าง และตอนท้ายยังใส่ดราม่าพ่อผัวกับ(ว่าที่)ลูกสะใภ้ไว้อีก แหม่... มันครบรสจริงๆ ครับ

คะแนนรีวิว : 8 คะแนนครับ

Sunday, December 13, 2015

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] The Selection : กลรัก เกมมงกุฏ

The Selection : กลรัก เกมมงกุฎ

ชื่อหนังสือ : The Selection : กลรัก เกมมงกุฎ
ผู้เขียน : เคียรา แคสส์
ผู้แปล : อรทัย พันธพงศ์
สำนักพิมพ์ : Spell
ราคา : 275 บาท
จำนวนหน้า : 331 หน้า
เรื่องย่อ :

หลังสงครามโลกอันครุกรุ่นแผ่นดินอเมริกาได้กำเนิดใหม่ขึ้นมาในชื่อประเทศ อิลเลีย และนำระบบราชวงศ์มาใช้ และจัดการคัดสรรค์บุตรีแห่งอิลเลียเพื่อหาผู้เหมาะสมและคู่ควรกับเจ้าชายแม็กซัน ชรีฟ  และถ่ายทอดเรื่องราวการคัดสรรค์ให้ประชาชนได้ร่วมรับรู้ไปด้วย อเมริกา ซิงเกอร์ ผู้ไม่ได้เต็มใจเข้าร่วมการคัดสรรค์ครั้งนี้ แต่กลับได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นหนึ่งใน 35 สาวงาม จึงต้องเข้ามาเรียนรู้ชีวิตใหม่ในพระราชวัง และต้องสลัดความคิดเกี่ยวกับ แอสเพน คนรักเก่าของเธอไปเสีย

หากคุณเป็นแฟนรายการประกวดนางงามเวทีต่างๆ หรือเรียลลิตี้ค้นหาสาวสวย นี่คือเรียลลิตี้ค้นหาเจ้าหญิงในรูปแบบตัวหนังสือซึ่งมีผู้ตัดสินเพียงหนึ่งเดียวคือเจ้าชายแม็กซัน

การบรรยายของตัวละครทำให้มีความรู้สึกร่วมไปตลอดเวลา ทั้งยิ้ม หัวเราะ หรือเศร้า และบางครั้งก็ทำให้คนอ่านทราบคำตอบในใจของอเมริกาไปก่อนเธอจะรู้ตัวเสียอีก ในเรื่องแฝงความโรแมนติกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างแยบยล และซ่อนความสับสนไว้ในเรื่องราวได้อย่างน่าติดตาม อเมริกามักจะคิดว่าเธอไม่มีอะไรเลยทั้งๆ ที่เธอมีสิ่งนั้นเต็มเปี่ยมเพียงแต่ไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับมันเท่านั้น ทำให้ย้อนกลับมาคิดได้ว่าเราควรมองข้อดีของตัวเอง ก่อนที่จะไปหาข้อดีในตัวใครๆ

ระหว่างการคัดสรรค์ก็ใช่จะสวยงาม เมื่อเหล่ากบฏมุ่งหมายจะทำลายสถาบันของประเทศเกิดใหม่นี้ ได้รุกรานอยู่ตลอดเวลา แต่หากกบฏจะเข้ามาทำให้ความสัมพันธ์ของบุคคลใดยิ่งชัดเจนขึ้น ก็คงไม่ผิดนักที่ผู้เขียนจะแทรกการรุกรานของกบฏเข้ามา

ส่วนตัวไม่ค่อยชอบนิยายแนวโรแมนติกจ๋ามากนัก แต่ต้องยอมรับว่า the Selection เป็นเล่มที่ผมอ่านและซึมซับเรื่องราวไปด้วยได้ไม่ยาก ไม่หวานเลี่ยนจนเกินควร หรือดราม่าน้ำตาไหลได้ทุกหน้าที่อ่าน ยังมีอารมณ์ขัน และคำตอบที่รอให้อเมริกาค้นพบชวนให้พอลุ้นตามได้

คะแนนรีวิว : 8.4 คะแนน ครับ

Thursday, December 10, 2015

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] Enders เอ็นเดอร์ส : เผย

Enders เอ็นเดอร์ส : เผย

ผู้เขียน : ลิสซา ไพรซ์
ผู้แปล : พรพยงค์ นำธวัช
สำนักพิมพ์  : Spell
ราคา : 265 บาท
จำนวนหน้ : 269 หน้า
เรื่องย่อ : ไพรม์เดสทิเนชั่นส์ถูกโค่นไปแล้วก็จริง แต่ “ตาเฒ่า” ยังอยู่ข้างนอกนั่น วางแผนจะใช้งานสตาร์ตเตอร์ที่ถูกฝังชิปให้ทำเรื่องชั่วร้ายสุดประมาณ อีกทั้งยังอยู่ข้างในหัวของแคลลี ออกคำสั่งให้เธอยอมทำตามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
พึงระลึกเอาไว้ว่าฉากหน้ายังคงอยู่ สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป ไม่มีใครที่เราไวใจได้นอกจากตัวเอง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ บางครั้งก็ควรสงสัยตัวเองด้วย บางอย่างที่ถูกพรางเอาไว้กำลังจะถูกเผย จุดสิ้นสุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

หลายคนบอกว่าเวลาดูหนังหรืออ่านหนังสือที่ภาคแรกมันสนุกมากๆ เมื่อได้อ่านเล่มที่สองหรือดูหนังภาคสองมักจะไม่สนุกเท่าภาคแรก แต่เปล่าเลย เอ็นเดอร์สเล่มนี้ต่อยอดความสนุกต่อจากสตาร์ตเตอร์ได้ลงตัว และมีชั้นเชิง เหมือนตกหลุมพรางจากภาคแรก แล้วมาต่อสู้ตะเกียกตะกายขึ้นจากหลุมในภาคนี้ การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็วตามสไตล์ของผู้เขียน และพาเราดำดิ่งไปกับการผจญภัยของแคลลี ให้ได้ร่วมลุ้นไปกับเธอตลอดเวลา สิ่งที่ปกปิดเริ่มเปิดเผย แต่อันไหนเชื่อได้บ้าง ใครที่ควรเชื่อใจบ้าง ร่างกายที่คุณเคยควบคุมจะยังเป็นของคุณเองอยู่หรือเปล่า แล้วเมื่อไหร่เรื่องร้ายๆ จะจบลงหละ คำถามเหล่านี้ชวนให้อยากพลิกหน้าต่อไปอยู่เสมอ เพราะอยากรู้ว่ามันจะจบลงเช่นไร

ก่อนจะเปิดอ่านผมเองก็กลัวว่าจะสนุกน้อยลง แต่พอได้อ่านจริงๆ กลับพบว่าเปล่าเลย มันยิ่งชวนให้ติดตามยิ่งขึ้นไปอีก แม้กระทั่งอ่านจบยังรู้สึกว่ามันยังไม่จบ และอยากให้มีเล่มต่อๆ ไปอีกเหลือเกิน

แน่นอนอย่างที่ผมบอกไว้ตอนรีวิวเล่มแรกว่ามันเป็นดิสโทเปียผจญภัยแบบไม่ต้องนองเลือดจริงๆ แม้เปิดมาบทแรกของเล่มสองจะมีระเบิดก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว(ถ้าไม่รวมคนตายในสงครามสปอร์ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดก่อนไทม์ไลน์ในเรื่อง) โดยรวมทั้งสองเล่มนี้มีคนตายน้อยกว่านิยายแนวผจญภัยที่ผมเคยอ่านมาอีกนะ

สุดท้ายนี้ "จงอย่าไว้ใจใครนอกจากตัวเอง แล้วก็จงสงสัยตัวเองด้วย"

คะแนนรีวิว : 9.6/10 คะแนน ครับ

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] Starters สตาร์ตเตอร์ : พราง

Starters สตาร์ตเตอร์ : พราง

ผู้เขียน : ลิซ่า ไพรซ์
ผู้แปล : พรพยงค์ นำธวัช
สำนักพิมพ์ : Spell
ราคา : 315 บาท
จำนวนหน้า : 328 หน้า
เรื่องย่อ : รู้หน้า…แต่ไม่รู้ใจ ภายใต้ใบหน้านั้น แท้จริงแล้วเธอคือใคร
เคยฝันใฝ่ว่าอยากลองใช้ร่างของใครสักคนหนึ่งดูไหม ในยามสังขารร่วงโรยไม่น่าปรารถนา คุณอยากกลับไปเดินเหินได้คล่องแคล่วราวติดปีกในร่างของวัยรุ่นที่สมบูรณ์เต็มร้อยอีกสักครั้งไหม อยากจะเที่ยวและปาร์ตี้ให้สุดเหวี่ยงอย่างที่คุณเคยทำเมื่อยังหนุ่มสาวไหม
มาสิ…มาที่ธนาคารร่างกาย ไพรม์เดสทิเนชั่นส์ขอต้อนรับ แล้วเราจะทำฝันของคุณให้เป็นจริง
ในโลกหลังสงครามที่เหลือเพียงผู้รอดชีวิตอายุน้อยกว่ายี่สิบปีและมากกว่าหกสิบปี แคลลี วูดแลนด์ ตัดสินใจเข้าร่วมกับไพรม์เดสทิเนชันส์ ให้คนชราเช่าร่างกายวัยรุ่นของเธอไปเติมเต็มความเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง โลกที่คนชราในร่างเช่าวัยรุ่นเดินปะปนกับวัยรุ่นตัวจริงคงดำเนินต่อไปได้ หากจู่ๆ แคลลีไม่ได้ค้นพบว่าผู้เช่าของเธอไม่ได้เช่าร่างนี้เพื่อแค่ไปปาร์ตี้ แต่ตั้งใจจะทำอะไรที่พัวพันเรื่องเลวร้ายและอันตรายกว่านั้นมากมายนัก!

เปิดเรื่องด้วยความโหดร้ายของการเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติผู้ใหญ่เหลือเพียงน้องชายที่ป่วยให้แคลลี่ต้องดูแล และต้องฝ่าความยากลำบากไปด้วยกัน การบริจาคร่างกายให้คนเช่า ซึ่งดูเป็นงานที่เหมือนแค่หลับไปก็ได้เงิน จึงเป็นสิ่งที่ดูสวยงามและดึงดูดให้เธอเข้าไปหา เพื่อเปลี่ยนชีวิตของเธอและน้องชายให้ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนหากทำแล้วมันจบง่ายดายขนาดนั้นเรื่องก็คงจบเรียบๆ และไม่สนุก หนังสือเล่มนี้จึงจัดเต็มความสนุกมาให้ เมื่อผู้เช่าของแคลลี่ต้องการแหกกฏ และทำสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของแคลลี่ไปตลอดการ แต่ละบทของหนังสือไม่ยาวมาก แต่การตัดจบของแต่ละบทให้ความรู้สึกเหมือนดูซีรีย์เรื่องหนึ่ง ที่เมื่อจบบทจะรู้สึก เฮ้ย! อะไรอ่ะ? เฮ้ย! แล้วไงต่อ? อยู่ตลอดเวลา ปริศนาใหม่ๆ เพิ่มมาแทบทุกบท จนคิดไม่ออกว่ามันจะเริ่มคลายปมที่ตรงไหน ในระหว่างที่ค่อยๆ ผูกปริศนาอยู่ ก็สอดแทรกความโรแมนติกที่ให้มากกว่าความรู้สึกรักใคร่ทั่วไปเข้ามาอย่างไม่รู้สึกว่ามันขัดกับเนื้อเรื่อง คล้ายจะฉาบฉวยและตื้นเขิน แต่กลับลึกซึ้งและจริงจัง สุดท้ายก็เหมือนโดนฟาดด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่ เมื่อถึงจุดที่ปริศนาเริ่มคลายปมออกมา พอเริ่มเข้าจุดพีคของเรื่องก็เหมือนโดนฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สาดความตกใจเข้ามาต่อเนื่องจนแทบตั้งรับไม่ทัน พอถึงจุดที่คิดว่าจะจบแล้วเชียว ก็ยังมีหักมุมจนถึงบรรทัดเกือบสุดท้ายของเรื่อง

ส่วนตัวผมชอบงานเขียนแนวดิสโทเปียอยู่แล้ว มันไม่ใช่โลกสมมติหรือโลกคู่ขนานอะไร แต่มันเหมือนการคาดการของอนาคต แรกๆ ก็ดูเหมือนจะสุขสงบและงดงาม แต่พอมีคนเริ่มแหกกฏจึงชวนให้เราตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วโลกของเราควรเป็นแบบไหนกันแน่

หากชอบนิยายแนวดิสโทเปียที่ผจญภัยจัดเต็มแต่ไม่ต้องนองเลือด ขัดแย้งแต่ไม่มุ่งทำลายระบบ แนะนำเล่มนี้เลยครับ

คะแนนรีวิว : 9.5 คะแนนครับ

ปล. มี Enders เป็นเล่มจบของชุดนี้ ขออนุญาตกลับไปอ่านแล้วจะมารีวิวอีกรอบครับ

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] The 5th wave : อุบัติการณ์ล้างโลก

The 5th wave : อุบัติการณ์ล้างโลก

ผู้เขียน : ริค แยนซีย์
ผู้แปล : ลมตะวัน
สำนักพิมพ์ : Spell
ราคา : 325 บาท
จำนวนหน้า : 463
เรื่องย่อ : ประชากรมนุย์ถูกกำจัดด้วยฝีมือของพวกต่างดาวจนแทบสูญสิ้น ด้วยการโจมตีหลายระรอก แคชชี่ ซัลลิแวน ออกเดินทางพร้อมปืนไรเฟิลคู่กายและตุ๊กตาหมีหนึ่งตัวเพื่อตามหาหนึ่งคนที่สำคัญกับเธอ

ลืม ลบ วาง หยุด คิดถึงนิยายหรือหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกแบบที่คุณเคยอ่าน เคยดูมา แล้วหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านแบบไม่รู้อะไรเลย คุณจะได้ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ไข ค่อยๆ สืบ ถึงตัวตนของผู้มาเยือนจากต่างดาว และหวาดระแวง หลบซ่อน หวาดกลัว หรือฮึดสู้ไปกับตัวอักษรที่ถ่ายทอดออกมา
ในขณะที่สถาณการณ์หวาดระแวง หรือมืดบอดอยู่ตรงหน้า จนคุณคิดว่าจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป แต่มีบางสิ่งยังฉุดรั้งให้คุณค้นหาความเป็นมนุษย์ในตัวตน แต่จะใช่เหรอ แน่ใจใช่ไหมว่าคุณกำลังถูกหนังสือเล่มนี้ชี้นำไปสู่ความเป็นมนุษย์ หรือคุณกำลังโดนหลอกกันแน่? แล้วอะไร หรือใครหละ ที่เป็นมนุษย์ มาหาคำตอบในเล่มนี้สิครับ
จากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้ที่เรียกได้ว่าโดนล้างความคิดเดิมๆ รวมไปถึงเคลิบเคลิ้มและโดนตลบหลังไปหลายรอบ ใครคือมิตร ใครคือศรัตรู ใครครอบครอง หรือใครเป็นเจ้าของเดิม เรียกได้ว่ากว่าจะอ่านเล่มนี้จบก็เล่นเอามึนได้เช่นกัน แต่ชอบการปูเรื่อง การเล่าเรื่องที่ชวนให้เคลิ้มและงุนงง สงสัย ระแวง และคล้อยตามได้ตลอดเวลา จนมาถึงจุดพีคในบทสุดท้ายเล่นเอาไม่กล้าวางเพื่อไปทำอย่างอื่นเลย เพราะกลัวจะไม่ต่อเนื่อง
ส่วนตัวละครที่ชอบในเรื่องนี้คือเจ้าตุ๊กตาหมีที่แคชชี่ถือติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะหากไม่มีเจ้าหมีตัวนี้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะนำพาแคชชี่มาถึงขนาดนี้ไหมอารมณ์เหมือนพี่สุชาติที่ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวละครสำคัญหรือมีบทพูดใดๆ แต่หมีตัวนี้บรรจุเรื่องราว ความทรงจำ และกำหนดเป้าหมายให้เรื่องราวของตัวละครดำเนินไป
อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบคือสำนวนภาษาของผู้แปลที่เลือกใช้คำที่มันรู้สึกใช่กับการเล่าเรื่องราวต่างๆ ของตัวละครที่ทำให้เราไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกตามที่ตัวละครนั้นบรรยายไปด้วย ต้องขอบคุณผู้แปลมากจริงๆ

หนังสือเล่มนี้ได้ทำเป็นภาพยนตร์ด้วยนะครับ และก็มีตัวอย่างบางส่วนมาแล้ว ส่วนใครที่เป็นสาวกตัวอักษรชอบที่จะอ่านมากกว่าผมแนะนำให้หยิบมาอ่านกันเถอะ แต่ถ้าอ่านแล้วติดเนี่ยก็ต้องลำบากรอนิดหน่อยเพราะเล่มนี้มีภาคต่อ และยังไม่มีฉบับแปลออกมา ยังไงก็มารอด้วยกันนะครับ

คะแนนรีวิว : 8.9 คะแนน ครับ

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] the Good Dinosaur (Movie)

the Good Dinosaur

อนิเมชั่นเรื่องใหม่ล่าสุดจากดิสนีย์และพิกซ่า จะเป็นอย่างไรหากอุกาบาตไม่ได้พุ่งชนโลก และไดโนเสาร์ไม่ได้สูญพันธ์ เรื่องราวของอาร์โล่ ไดโนเสาร์น้อยขี้กลัวในครอบครัวที่ทำเกษตรกรรม และเขาต้องพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่เห็นเพื่อที่จะได้ประทับรอยเท้าของตัวเองเหมือนพ่อแม่และพี่ๆ และพ่อเขาสั่งให้เขากำจัดเจ้าจอมตระกละที่มากินพืชผลที่เก็บเกี่ยวมา การผจญภัยของอาโลวจึงได้เริ่มต้นขึ้น
สิ่งที่ชอบก่อนละกัน ผมดูรอบ 3D แน่นอนว่าอนิเมชั่นมาตรฐานดิสนีย์ทำให้ภาพ 3D ออกมาสวยอยู่แล้ว ประทับใจฉากหิ่งห้อยบิน ผมว่ามันสวยจริงๆ ชอบอีกอย่างคือในหนังสิ่งที่พูดได้อย่างเดียวในเรื่องมีแค่เหล่าไดโนเสาร์ ซึ่งผมก็ว่าดีนะ ถ้าให้สัตว์ในเรื่องพูดได้หมดก็คงดูน่ารำคาญไปหมด
สิ่งที่ไม่ชอบ อนุญาตจัดเต็มนิดนึง ผมว่าเนื้อเรื่องยังอ่อนไป แถมการปูเรื่องค่อนข้างนานและยืดเยื้อ พอคิดว่าไปตรงนี้จะมาจบตรงนั้น อ่าวไม่ใช่แฮะ ยังมีอะไรโผล่มาได้อีก แล้วก็โผล่มาแล้วหายไป หลายครั้งจนผมคิดว่า มันจะไปจบที่ตรงไหนวะ ตัวร้ายในเรื่อง(ซึ่งมีหลักๆ 2 กลุ่ม) ดูต๊อกต๋อยไปนิด นึกว่าจะได้เจอตัวร้ายแบบร้ายสุดๆ แต่เปล่าเลย เป็นเหมือนพวกอันธพาลผ่านทางมาแล้วมาแกล้งเฉยๆ ทำให้เรื่องมันดูไม่พีค (น้ำป่าดูน่ากลัวกว่าตัวร้ายอีก)

"เจ้าไม่จำเป็นต้องเลิกกลัวหรอก เพราะถ้าเจ้าไม่กลัวเจ้าคงจะปล่อยให้จระเข้กัด"

สำหรับผม ผมว่าเรื่องนี้มันสนุกประมาณหนึ่งนะ ได้เห็นมิตรภาพ การเผชิญความกลัว ซึ่งมันก็โอเค แต่อาจเป็นเพราะผมดูหนังหรืออ่านแนวดาร์คๆ แนวดราม่าที่ยิ่งกว่านี้มามั้งมันเลยดูไม่ค่อยถูกจริตกับผม แต่ก็อย่าเชื่อผมทั้งหมดนะครับ ถ้าคุณได้ไปดูเอง อาจจะชอบก็ได้

คะแนนรีวิว : 5.8 คะแนน ครับ

Review : [รีวิว(ไม่)เวอร์] Pan 2015 (Movie)

Pan 2015

มาแล้วครับ รีวิวแพน ต้นกำเนิดเรื่องราวในดินแดนเนฟเวอร์แลนด์ เรื่องย่อ ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของเด็กชายที่ชื่อปีเตอร์ถูกนำมาทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมจี้ห้อยคอรูปขลุ่ยที่เขาติดตัวไว้ตลอดเวลา เฝ้าแต่รอว่าแม่จะกลับมารับเขา จนกระทั่งมีเรือโจรสลัดเหาะได้มาจับตัวเขาไป การผจญภัยจึงเริ่มขึ้น

ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมดูรอบ 3D เพราะฉนั้นขอรีวิวงาน 3D ก่อนละกัน ภาพ 3D และกราฟฟิคสวยมาก โดยเฉพาะฉากเปิดทำได้สวยและประทับใจมาก ส่วนฉากอื่นๆ ก็ทำได้ดี บางฉากแทบเหมือนเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ขอชมงาน 3D ว่าสวยกว่าบางเรื่องที่ผมเคยดู 3D มา แต่ติดตรงที่ไม่ได้มีฉากจำแบบเอามาเล่าต่อได้ว่าต้องเข้าไปดูฉากนี้นะ

ส่วนของเนื้อเรื่องก็ปูเรื่องการเดินทางไปเนฟเวอร์แลนด์ของปีเตอร์ และการต่อสู้เอาชนะโจรสลัดแบล็กเบียร์ดโดยมีฮุค(กัปตันฮุคในอนาคต) และสมีร่วมเดินทาง ปมในเรื่องไม่มีอะไรมาก แค่การทวงคืนดินแดนเนฟเวอร์แลนด์และการตามหาแม่ ตามหาตัวตนของตัวเอง เลยทำให้ตัวปีเตอร์เหมือนเป็นเด็กดราม่านิดหน่อย ซึ่งผมรำคาญนิดๆ (555) ตัวละครในดินแดนเนฟเวอร์แลนด์มาครบทั้งจระเข้ นางเงือก เหล่านางฟ้า รวมถึงทิ้งเกอเบลด้วย แต่ก็ออกมานิดๆ หน่อยๆ  แต่นางเงือกสวยจริงๆ ชอบนางเงือกมาก อีกตัวละครที่ชอบคือ สมีเป็นตัวคอยตบมุกได้ดีบางฉากอาจดูล้นๆ หน่อยแต่ถ้าขาดสมี เรื่องนี้อาจไม่มีคอมเมดี้ให้อมยิ้มก็ได้ เสียดายอีกอย่างคือไหนๆ จะเล่าจุดเริ่มต้นของทุกอย่างแล้ว แต่ตัวร้ายอย่างแบล็กเบียร์ดกลับไม่ได้เล่าแบ็กสตอรี่เลย อยูดีๆ มาทำลาย มาครอบครองเนฟเวอร์แลนด์ซะงั้น แต่ก็นะ ถ้าใส่เนื้อหาตรงนี้ไปด้วย ตัวหนังอาจจะยาวเกินไปก็ได้

แต่โดยรวมแล้วเป็นหนังที่สนุก ฉากอลังการ 3D สวยงาม ตื่นตาตื่นใจ แอคชั่นมีให้ลุ้นตามนิดๆ หน่อยๆ ควรไปดูอย่างยิ่งครับ
ที่ชอบอีกอย่างคือ end credit เรื่องนี้สวยดีนะ คนอื่นอาจจะไม่ได้ชอบหรอก แต่ผมนั่งดู end credit เรื่องนี้ได้เพลินๆ จนจบแหนะ

คะแนนรีวิว 8.5/10 ครับผม